เมนู

แล้วบรรลุคุณพิเศษ เข้าถึงหมู่พรหมชั้น
ปุโรหิต.
ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ ข้าพระองค์
ทั้งหลายมาแล้ว เพื่อบรรลุธรรมนั้น ข้า-
แต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ ถ้าพระผู้มีพระภาค
เจ้าประทานพระวโรกาสแล้ว ข้าพระองค์
ก็จะพึงทูลถามปัญหา.

[254] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าได้มีพระปริวิตกนี้ว่า ท้าว
สักกะนี้แลเป็นผู้บริสุทธิ์แล้วสิ้นกาลนาน จักถามปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่งกะเรา
ก็จักถามล้วนแต่ประกอบด้วยประโยชน์ถ่ายเดียว หาไร้ประโยชน์ไม่ อนึ่ง
เราจักพยากรณ์ปัญหาใดแก่พระองค์ พระองค์จักทรงทราบทั่วถึงปัญหานั้นได้
ฉับพลันทีเดียว จึงตรัสคาถาว่า
มหาบพิตรผู้วาสพ พระองค์จึงถาม
ปัญหาข้อใดข้อหนึ่ง ซึ่งทรงประสงค์ไว้
ในพระหฤทัย ก็จงถามเถิด อาตมาภาพ
จะทำที่สุดแห่งปัญหานั้น ๆ นั่นแลแก่
พระองค์.

จบ ปฐมภาณวาร

ทรงแก้ปัญหาท้าวสักกะ



[255] ท้าวสักกะผู้จอมเทพ ได้รับประทานพระวโรกาสแล้ว ได้
ทูลถามปัญหาทีแรกนี้กะพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ เทวดา

มนุษย์ อสูร นาค คนธรรพ์ และสัตว์เหล่าอื่นเป็นอันมาก มีอะไรเป็น
เครื่องผูกพัน เขาเหล่านั้นเป็นผู้ไม่มีเวร ไม่มีอาชญา ไม่มีข้าศึก ไม่มีความ
คับแค้นใจ มีความหวังอยู่ว่า ขอพวกเราจงเป็นผู้ไม่มีเวรเป็นต้น อยู่เถิด ดั่งนี้
แต่ไฉนยังเป็นผู้มีเวร มีอาชญา มีข้าศึก มีความคับแค้นใจ เป็นไปกับด้วย
เวรอยู่อีกเล่า.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ทรงพยากรณ์แก่ท้าวเธอว่า ขอถวายพระพร
เทวดา มนุษย์ อสูร นาค คนธรรพ์ และสัตว์เหล่าอื่นเป็นอันมาก มีความ
ริษยาและความตระหนี่เป็นเครื่องผูกพัน เขาเหล่านั้นเป็นผู้ไม่มีเวร ไม่มีอาชญา
ไม่มีข้าศึก ไม่มีความคับแค้นใจ หวังอยู่ว่า ขอเราจงเป็นผู้ไม่มีเวรเป็นต้น
อยู่เถิด ดังนี้ แต่ก็ยังเป็นผู้มีเวร มีอาชญา มีข้าศึก มีความคับแค้นใจ เป็น
ไปกับด้วยเวรอยู่
ท้าวสักกะผู้จอมเทพ มีพระหฤทัยชื่นชมเพลิดเพลินอนุโมทนาภาษิต
ของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้อพยากรณ์นั้น ย่อมเป็น
อย่างนั้น ข้าแต่พระสุคต ข้อพยากรณ์นั้นย่อมเป็นอย่างนั้น ข้าพระองค์ข้าม
พ้นข้อสงสัยในข้อนั้นเสียได้แล้ว หมดความสงสัยที่จะพึงกล่าวว่าอะไร ๆ แล้ว
เพราะได้สดับปัญหาพยากรณ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า.
[256] ครั้นแล้ว ได้ทูลถามปัญหาต่อไปว่า ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์
ก็ความริษยาและความตระหนี่มีอะไรเป็นนิทาน (เค้ามูล) มีอะไรเป็นสมุทัย
(เครื่องก่อ) มีอะไรเป็นชาติ (เหตุเกิด) มีอะไรเป็นแดนเกิด ก็เมื่ออะไรยัง
มีอยู่ ความริษยาและความตระหนี่จึงมี และเมื่ออะไรไม่มีอยู่ ความริษยาและ
ความตระหนี่ย่อมไม่มี.
พ. ชื่อถวายพระพร ความริษยาและความตระหนี่ มีอารมณ์อันเป็น
ที่รักและไม่เป็นที่รัก เป็นนิทาน เป็นสมุทัย เป็นชาติ เป็นแดนเกิด เมื่อ

อารมณ์อันเป็นที่รักและไม่เป็นที่รักยังมีอยู่. ความริษยาและความตระหนี่ย่อมมี
เมื่อไม่มีอยู่ ความริษยาและความตระหนี่ย่อมไม่มี.
ส. ก็อารมณ์อันเป็นที่รักและไม่เป็นที่รัก มีอะไร เป็นนิทาน เป็น
สมุทัย เป็นชาติ เป็นแดนเกิด เมื่ออะไรยังมีอยู่ อารมณ์อันเป็นที่รักและไม่
เป็นที่รัก จึงมี เมื่ออะไรไม่มีอยู่ อารมณ์อันเป็นที่รักและไม่เป็นที่รักจึงไม่มี.
พ. อารมณ์อัน เป็นที่รักและไม่เป็นที่รัก มีฉันทะเป็นนิทาน เป็น
สมุทัย เป็นชาติ เป็นแดนเกิด เมื่อฉันทะยังมีอยู่ อารมณ์อันเป็นที่รักและ
ไม่เป็นที่รักย่อมมี เมื่อไม่มี อารมณ์อันเป็นที่รักและไม่เป็นที่รักย่อมไม่มี ดั่งนี้.
ส. ฉันทะ (ความพอใจ) มีอะไรเป็นนิทาน เป็นสมุทัย เป็นชาติ
เป็นแดนเกิด เมื่ออะไรยังมีอยู่ ฉันทะจึงมี เมื่ออะไรไม่มี ฉันทะจึงไม่มี.
พ. ฉันทะมีวิตก (ความตรึก) เป็นนิทาน เป็นสมุทัย เป็นชาติ
เป็นแดนเกิด เมื่อวิตกยังมีอยู่ ฉันทะย่อมมี เมื่อไม่มี ฉันทะ ย่อมไม่มี.
ส. ก็วิตกมีอะไรเป็นนิทาน เป็นสมุทัย เป็นชาติ เป็นแดนเกิด
เมื่ออะไรยังมีอยู่ วิตกจึงมี เมื่ออะไรไม่มี วิตกจึงไม่มี.
พ. วิตก มีส่วนแห่งสัญญาอันสัมปยุตด้วยปปัญจธรรม (ธรรมเครื่อง
เนิ่นช้า) เป็นนิทาน เป็นสมุทัย เป็นชาติ เป็นแดนเกิด เมื่อส่วนแห่งสัญญา
อันสัมปยุตด้วยปปัญจธรรมยังมีอยู่ วิตกย่อมมี เมื่อไม่มี วิตกย่อมไม่มี.
[257] ส. ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ ก็ภิกษุปฏิบัติอย่างไร ชื่อว่า
เป็นผู้ดำเนินปฏิปทาอันสมควร และให้ถึงความดับส่วนแห่งสัญญาอันสัมปยุต
ด้วยปปัญจธรรม.
พ. ก็อาตมาภาพ กล่าวโดยโสมนัสโทมนัสและอุเบกขา ส่วนละ 2
คือ ที่ควรเสพก็มี ที่ไม่ควรเสพก็มี อาตมาภาพกล่าวหมายถึงข้อความดังว่ามา
ฉะนี้ และอาศัยอะไรจึงกล่าวดังนั้น บรรดาโสมนัส 2 อย่างนั้น บุคคลพึงรู้จัก